
1. สระอโนดาต
2. สระกัณณมุณฑะ
3. สระรถการะ
4. สระฉัททันตะ
5. สระกุณาละ
6. สระมัณฑากิณี
7. สระสีหัปปาตะ
บรรดาสระใหญ่ทั้ง 7 นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง 5 ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอดมีส่วนสูงและสัณฐาน 200 โยชน์ กว้างและยาวได้ 50 โยชน์
ในป่าหิมพานต์นี้เต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด ซึ่งล้วนแปลกประหลาดต่างจากสัตว์ที่มนุษย์ทั่วไปรู้จัก เป็นสัตว์หลายอย่างผสมกันแล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ สัตว์เหล่านี้เกิดจากจินตนาการของจิตรกรไทยโบราณที่ได้สรรค์สร้างภาพจากเอกสารเก่าต่าง ๆ บรรดาสัตว์ทั้งหมดที่อ้างถึงนี้เป็นที่รู้จักในนามของสัตว์หิมพานต์
สัตว์หิมพานต์
คือ สัตว์ในจินตนาการที่กวี หรือจิตรกร พรรณนาถึง อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาส ดังที่ปรากฏในวรรณคดีไตรภูมิพระร่วง และรามเกียรติ์ โดยมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดมาประกอบกันในตัวเดียว จำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ สัตว์ทวิบาท (มีสองขา) สัตว์จตุบาท (มีสี่ขา) และจำพวกปลา
จำแนกตามชนิดสัตว์
นก
– อสูรปักษา , อสุรวายุพักตร์ , นกการเวก , ครุฑ , กินรี , เทพปักษี , นกทัณฑิมา
– หงส์ , หงส์จีน , คชปักษา , มยุระคนธรรพ์ , มยุระเวนไตย , สินธุปักษี , สีหสุบรรณ , สุบรรณเหรา
– มังกรสกุณี , นาคปักษี , นาคปักษิณ , นกหัสดี , นกอินทรี , นกสัมพาที , กินนร , สกุณเหรา
– นกเทศ , พยัคฆ์เวนไตย , นกสดายุ , เสือปีก , อรหัน
สิงห์
– บัณฑุราชสีห์, กาฬสีหะ , ไกรสรราชสีห์ , ติณสีหะ
– เกสรสิงหะ , เหมราช , คชสีห์ , ไกรสรจำแลง , ไกรสรคาวี , เทพนรสีห์ , ฑิชากรจตุบท ,โต
สิงห์ผสม
– ไกรสรนาคา, ไกรสรปักษา, โลโต, พยัคฆ์ไกรสร, สางแปรง , สิงหคาวี , สิงหคักคา , สิงหพานร
– สกุณไกรสร , สิงห์ , สิงโตจีน , สีหรามังกร , โตเทพสิงฆนัต , ทักทอ , นรสิงห์
ม้า
– ดุรงค์ไกรสร, ดุรงค์ปักษิณ ,เหมราอัสดร , ม้า , ม้าปีก , งายไส , สินธพกุญชร , สินธพนที
– ตเทพอัสดร, อัสดรเหรา , อัสดรวิหก
ปลา
– เหมวาริน , กุญชรวารี , มัจฉนาคา , มัจฉวาฬ . นางเงือก , ปลาควาย , ปลาเสือ , ศฤงคมัสยา
ช้าง
– เอราวัณ , กรินทร์ปักษา , วารีกุญชร , ช้างเผือก
กิเลน
– กิเลนจีน , กิเลนไทย , กิเลนปีก
กวาง
– มารีศ , พานรมฤค , อัปสรสีหะ
จระเข้
– กุมภีนิมิตร , เหรา
– กุมภีนิมิตร , เหรา
ลิง
– บิลปักษา, มัจฉาน
– บิลปักษา, มัจฉาน
วัว-ควาย
– มังกรวิหค , ทรพา ทรพี
– มังกรวิหค , ทรพา ทรพี
แรด
– แรด , ระหมาด
– แรด , ระหมาด
สุนัข
ปู
นาค
ปู
นาค
มนุษย์
– คนธรรพ์ , มักกะลีผล
– คนธรรพ์ , มักกะลีผล
นารีผล หรือ มักกะลีผล
เป็นพรรณไม้ตามความเชื่อจากตำนานป่าหิมพานต์ เป็นพืชที่ออกลูกเป็นหญิงสาว เมื่อผลสุกแล้ว บรรดา ฤๅษี กินร วิทยาธร คนธรรพ์ จะนำไปเสพสังวาส
ในวรรณคดีระบุว่า มักกะลีผลเมื่อสุกแล้ว จะกลายเป็นหญิงสาวงามอายุราว 16 ปี แต่ที่ศีรษะจะยังมีขั้วติดอยู่ นิ้วมือทั้ง 5 ยาวเท่ากัน ผมยาวสีทอง ตากลมโต คอเป็นปล้อง ไม่มีโครงกระดูก แต่ส่งเสียงได้เหมือนมนุษย์จริง ๆ มักกะลีผลที่ยังอ่อนมีลักษณะเหมือนคนนั่งคู้เข่าอยู่ เมื่อโตขึ้นขาจะเหยียดออกก่อน เมื่อโตเต็มที่จึงเหยียดตัวเหมือนคนยืนตัวตรง บรรดาฤๅษี กินร วิทยาธร คนธรรพ์ ที่ยังมีตัณหาอยู่ จะมาออที่โคนต้น เพื่อรอสุกก็จะแย่งชิงกันเด็ดไปเป็นภรรยา ต้องยื้อแย่งกัน ทำร้ายกันถึงตาย ผู้ที่เหาะได้ก็เหาะขึ้นไปเก็บ ผู้ที่เหาะไม่ได้ก็ใช้ไม้สอยหรือปีนขึ้นไปเก็บ เมื่อมาแล้วก็จะนำไปที่อยู่ของตน ทะนุถนอมระแวดระวังอย่างดีมิให้ใครแย่งเอาไป แต่มักกะลีผลมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 วัน ก็จะเน่าเปื่อยไป
ซึ่งในวรรณคดีไทยที่มีการกล่าวถึง มักกะลีผล ได้แก่ พระเวสสันดรชาดก, มหาชาติคำหลวง และไตรภูมิพระร่วง
อ้างอิง: https://goo.gl/1YLwam
อ้างอิง: https://goo.gl/AZ8vcW
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น